มาจะกล่าวบทไป.....

ผมมีความนิยมชมชอบในเรื่องไอที และเทคโนโลยี และก็มีอะไรเยอะแยะที่อยากจะนำมาแบ่งปันให้ทุกๆ คน ซึ่งก็หวังว่าจะสามารถนำไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อทุกๆ คน อาจจะยังใหม่อยู่ในเรื่องการเขียนบล๊อก แต่สัญญาครับว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

รูปแบบของดนตรี...ที่น่ารู้

ดนตรีสมัยนี้ หลากหลายมากครับ แนวเพลงก็พัฒนามากขึ้น จากเดิมๆที่เราเคยรู้จัก ถ้าเป็นรุ่นปู่ก็คงจะเป็น Waltz, Cha Cha Cha, Disco ใครที่คอถึงหน่อยก็ฟังพวก Jazz, Blues หรือเพลงบรรเลงเบาๆ ทำให้ผมนึกถึงสมัยเรียนมัธยมที่เพิ่งเริ่มรู้จักเพลงบรรเลงก็ต้องเสียงเปียโนละเมียดละมัยของ Richard Claydermon และก็อีกอัลบั้มที่โปรดมาก Peotry of the Seas ที่มีเสียงนก เสียงคลื่นประกอบกัน พอโตขึ้นก็ไม่ค่อยสนใจแนวเพลง ฟังไปเรื่อยเรียกว่าเถอะ เมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้วมีเจ้านายฝรั่งซึ่งแกชอบฟังเพลงหลากหลายมาก ทำให้ได้รู้จักแนวเพลงที่เรียกว่า Chill-out มันให้ความรู้สึกอีกแบบ พอตอนหลังก็เลยฟังมากขึ้น หาซื้อบ้าง ดาวน์โหลดบ้าง ก็ยิ่งได้เห็นว่ามีแนวเพลงอีกมากมายที่แตกแขนงออกเยอะแยะ NUJazz, Acid Jazz, Trance, Trip Hop, Downtempo และอีกมายมาย ทำให้สงสัยว่าแต่ละแนวมีความแตกต่างอย่างไร ก็เลยต้องอาศัยพี่กู้กเกิ้ลช่วย และก็ได้คำตอบ เลยอย่ากเอามาแบ่งปันเป็นความรู้รอบตัวให้เพื่อนๆ ที่รักเสียงเพลงได้ทราบด้วย

POP หรือดนตรีพ๊อ : Pop ย่อมาจากคำวา “popular” ที่มีความหมายว่า “เป็นทีนิยมชมชอบกันทั่วไป” ดนตรีพ๊อพจึงมีลักษณะที่ฟังง่าย ติดหู ทำนองไพเราะ ดนตรีไม่มีความสลับซับซ้อน เนื้อหากล่าวถึงความรัก ธรรมชาติ อารมณ์์ต่างๆของผู้คนทั่วไป โดยรวมแล้วทุกๆเพลงจะมีลักษณะทีเด่นชัดเช่นนี้เหมือนกันหมด ดังนั้่นดนตรพ๊อพจึงอาจจะเป็นดนตรีโฟลค์, บูลส์, คันทรี่, ร็อค, เฮฟวี่, แรป, แด๊นซ์ ฯลฯ หรือดนตรีอะไรก็ตามที่ผู้คนทั่วโลกชื่นชอบและฮิต เช่น My Heart Will Go on ของ CELINE DION, We Will Rock You ของ Queen หรือ I will survive ของ Gloria Gaynor เหล่านี้เป็นต้น

ROCK เป็นดนตรีที่มีจังหวะจะโคน เร่งเร้า กระชับหนักแน่น มาจากดนตรี ร็อคแอนด์โรล ในยุค 50s ตอนปลาย และยุค 60s ที่เรียกกันว่า “Rock a Billy” หรือจากเพลง “Rock Around The Clock” มีกลองให้จังหวะพร้อมกับริธึ่มของกีตาร์ที่หนักแน่น และเสียงร้องกระแทกกระทั้น เพื่อปลุกเร้าคนฟังให้เกิดอารมณ์สนุก เมามันส์ และปลดปล่อย ดนตรีร็อคได้พัฒนาให้มีจังหวะที่หนักแน่น และมีรายละเอียดในแง่ของลูกเล่นกีตาร์มากขึ้นและเร็วขึ้น เลยเรียกว่า Hard Rock (ฮาร์ด ร็อค) อย่างวง DEEP PURPLE หรือ LED ZEPPLIN และพัฒนาให้มีความสลับซับซ้อนในโครงสร้างของเพลง และเนื้อหาที่เป็นเรื่องราวที่เรียกว่า Progressive Rock(โปรแกรสซีฟ ร็อค) โดยมีเครื่องดนดรีอย่างคีย์บอร์ดและออร์แกนเข้ามามีบทบาท หรือกลิ่นอายของดนตรีจากอินเดียเข้ามาผสมผสานที่เรียกกันว่า Psychedelic Rock และพัฒนามาจนถึงมีความหนักแน่น กร้าวร้าว หยาบคายทั้งในเนื้อหาและดนตรี ที่เน้นหนักไปที่กีตาร์ริธึ่มและโซโล่เป็นพรเอก เรียกว่า Heavy Metal เช่นวง Iron Maiden และในปัจจุบัน ดนตรร๊อคแตกแขนงออกมาอีกหลายแขนง เช่น Black Metal, Death Metal, Modern Rock, Punk Rock, Alternative Rock, Post Rock, Industril, Hard Core เป็นต้น วงที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักดีคือ Mattallica, Nirvana, Green Day, X-japan, Korn, Limp Bizkit, Marilyn Manson เป็นต้น

Jazz เป็นดนตรีที่มีต้นกำเนิดมาจากทาสผิวดำ ที่ถูกนำมาเป็นทาสในอเมริกาแถบนิวออร์ลีน รัฐนี้จึงกลายเป็นรัฐของดนตรีJazz โดยเริ่มแรกจากการที่ทาสผิวดำเหล่านี้ มีรากฐานของดนตรี Soul และ Blues อยู่บ้างแล้ว เพราะคนผิวดำที่ถูกต้อนมาจากทวีปแอฟริกานั้น เป็นชนเผ่าต่างๆที่มีวัฒนธรรมและประเพณีของตนเองติดตัวมาอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสได้พบปะระหว่างทาสด้วยกัน ก็หันมาร้องรำ ทำเพลงบ้าง เข้าโบสถ์ชุมนุมกันบ้าง และจับเครื่องดนตรีต่างๆมาเล่นร่วมกัน ทั้งเครื่องเป่า เปียโนหรือกีตาร์ เมื่อหลุดพ้นจากการเป็นทาส หรือว่างงาน ก็จะมารวมตัวกันเล่นดนตรีตามงานศพต่างๆ ของคนผิวดำด้วยกัน เพื่อเป็นการระบายความต่ำต้อยของพวกเขาเอง ดนตรีแจ๊สในนิวออรีน ก็ได้แพร่หลายจากงานต่างๆเหล่านี้ ลักษณะเด่นของดนตรีแจ๊ส ค่อนข้างจะซับซ้อน ไพเราะ ปราณีต บรรจง ค่อนข้างจะอิงไปทางดนตรีคลาสสิค ในยุคก่อนๆ มากกว่าดนตรี โซล หรือบูลส์และแรป เครื่องดนตรีเด่นๆของดนตรีแจ๊ส จะชัดที่เครื่องเป่า กีตาร์และเป็ยโน บิดาของดนตรีแจ๊สคือ หลุยส์ อาร์มสตรอง ดนตรีแจ๊ซได้พัฒนาเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยในปัจจุบัน โดยแตกแขนงมาเป็น ฟิวชั้นแจ๊ซ ที่มีเครื่องดนตรีสังเคราห์เข้ามาผสมผสานบ้าง ส่วน เอซิดแจ๊ซนั้น จะมีจังหวะหรือบีทของดนตรีเต้นรำ ดนตรีฟังค์, โซล หรือบุลส์ เข้ามาผสมผสานบ้าง แล้วแต่ละสไตล์ของศิลปินแต่ละคน

Soul และ Funk ดนตรีโซล เป็นรากฐานของดนตรีหลายๆแนวในปัจจุบันทีกำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ เพราะโซลเป็นดนตรีที่มีความหมายของคำว่า วิญญาณ ซึ่งเป็นดนตรีที่เน้นใปทางเสียงร้อง และเอื้อนอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคนผิวดำ ที่ไม่มีชนชาติใดเลียนแบบได้ และเนื้อหาก็จะตีแผ่ถึงความลำบากในการใช้ชีวิตที่ตกเป็นทาส เสียงร้องจึงคล้ายๆกับการคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด โหยหากับสิ่งที่ได้รับการเอารัดเอาเปรียบจากคนผิวขาวในอดีต ดนตรีจะไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก ไม่ว่าจะเป็นกีตาร์ เปียโนหรือเครื่องเป่า ลักษณะที่สังเกตได้ง่าายจากดนตรีโซลคือ ดนตรีคนดำที่ใช้ร้องในโบสถ์ ประสานเสียงที่เรียกว่า Acapella เช่นดนตรีของ MARVIN GAYEหรือ DIANA ROSSเป็นต้น ต่อมาก็เริ่มมีการพัฒนาโดยการนำเอาดนตรีโซลไปผสมผสานกับเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆมากขึ้น นอกเหนือจากเสียงร้องแล้ว อาจจะเน้นไปที่กีตาร์ กลอง โดยเฉพาะเสียงเบส ให้จังหวะจะโคนที่เด่นชัด และลื่นไหล สร้างอารมณ์ให้เต้นตามได้ ซึ่งต่อมาเราเรียกว่า Funk หรือ โซล-ฟังก์นั่นเอง ซึ่งก็มศิลปินอย่าง JAMES BROWN, STEVIE WONDER เป็นต้นแบบที่ชัดเจน ปัจจุบันดนตรีโชลได้แตกขนงมาเป็น Urban soul บ้าง R & B (Rhythm and Blues)บ้าง โดยปรับดนตรีให้หรูหราโดยใส่เครื่องสังเคราะหอย่าง ออร์แกนหรือSynthesizerเข้าไปผสมผสาน เนื้อหาก็มาเน้นที่เรื่องราวของความรัก อกหัก หรือที่คนฟังเข้าใจได้ง่ายขึ้น และก็ได้กลายเป็นเพลงพ๊อพไปในที่สุด แต่ก็ยังเน้นสไตล์การร้องแบบโซลดั้งเดิมไว้ ศิลปินที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันได้แก่ CELINE DION, MARIAH CAREY, WHITNEY HOUSTON เป็นต้น

BLUES ก็เป็นดนตรีจองคนผิวดำเช่นกัน ที่นำเสนอเรื่องราวของชีวิตที่ต้อยต่ำ ผ่านเสียงดนตรีีคือกีตาร์ ที่เศร้าสร้อย หดหู่ จนน่าขนลุก บวกกับเสียงร้องที่แหบพร่าเหมือนการคร่ำครวญคล้ายคนกำลังร้องไห้ โดยให้เสียงกีตาร์กับเสียงเครื่องเป่าฮาร์โมนิกา เป็นสื่อถ่ายทอด ความเจ็บปวดเหล่านั้นอีกที เพื่อเป็นการตอกย้ำ ซึ่งถ้าในบ้านเราจะเรียกเพลงเหล่านี้ว่าเป็นเพลงเพื่อชีวิต และส่งผลเด่นชัดที่สุดต่อแนวเพลง R&B ในปัจจุบัน และสามารถข้ามใปผสมกับดนตรีร๊อคของวงดังอย่าง THE YARDBIRDS (ของ อิริค แคลปตัน) และTHE ROLLING STONES ในปัจจุบัน

RAP รากฐานที่แท้จริงของดนตรีจากคนผิวดำอีกแนว ที่ประทับตราได้เด่นชัดที่สุกดว่าแนวอื่นใดทั้งหมดที่เป็นของพวกเขา เพราะเป็นดนตรีที่มาจากการพร่ำบ่น การเปล่งเสียงที่มาจากภายในของตัวคน ระบายออกมาเป็นท่วงทำนองเป็นโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน พรรณนา โดยไม่จำเป็นต้องมีเสียงดนตรี ชึ่งแม้แต่จังหวะก็สามารถใช้เสียงในลำคอคอยให้จังหวะได้ เนื้อหาก็ยังวนเวียนอยู่กับการถูกเอารัดเอาเปรียบเหมือนเดิม เป็นดนตรีที่พูดถึงความจริงได้ชัดเจนที่สุด เพราะเนื้อหาค่อนข้างเปิดเผย โผงผาง หยาบคายและด่าทอ ต่อมาได้พัฒนามาเป็นดนตรีฮิป-ฮอป (Hip-Hop) มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงหรือ Turntable เป็นเครื่องดนตรีที่คอยให้จังหวะ พร้อมเมโลดี้ของดนตรีโชลหรือบูลส์เก่า เอามาSampler(เปิดทับ) เป็นส่วนประกอบของดนตรี และล่าสุดได้พัฒนามาจนถึงการเป็นดนตรี แรป-เมตัล หรือ ฮาร์ดคอร์ด ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ศิลปินที่เป็นทีรู้จักกันดีในแนวนี้เช่น Dr. Dre, SNOOP DOG, EMINEM เป็นต้น

RAGGE และ LaTIN MUSIC ดนตรีพื้นเมืองของจาไมก้าที่มีเนื้อหาพูดถึงการเมือง และลัทธิรัสตาฟาเรียนโดยมีบ๊อบ มาเลย์เป็นสัญญลักษณ์ ชึ่งดนตรีเน้นที่กีตาร์เป็นจังหวะเด่นชัด และเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ จังหวะของดนตรีเร็กเก้จะให้ความสนุกสนานด้วยตัวของมันเองอย่างชัดเจน แม้เนื้อหาจะหนักแต่ดนตรีเรกเก้ก็ได้รับความนิยม อย่างแพร่หลายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยมีปรมาจารย์อย่าง King TUBBY และ AUGATUS PABLO เป็นผู้ให้กำเนิด และพัฒนา ต่อมากลายเป็นดนตรี สกา ที่ได้รับความนิยมกันในอังกฤษข้ามมาโด่งดังในอเมริกาในสไตล์ สกา-ฟังก์ร็อค มีวงอย่าง NO DOUT, SUGAR RAY, SMACH MOUTH เป็นหัวหอก และในเมืองไทยก็มีวงอย่าง ที-โบน ในญึ่ปุ่นมีวง โตเกียว สกา พาราไดช์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก และปัจจุบันได้เป็นรากฐานให้กับดนตรีที่เรียกว่า Dub ส่วนดนตรีลาติน มิวสิคนั้น เป็นดนตรีประจำภาคพื้นทวีปอเมริกาใต้ ที่เน้นจังหวะที่มีเครื่องเคาะหลากหลาย เป็นแกนหลักของดนตรี ทำนอง และจังหวะจะผสมผสานระหว่างการเต้นระบำของคนพื้นเมือง ใส่ความสมัยใหม่ของเครื่องดนตรีอย่างกีตาร์ กลอง เบส และที่เป็นพระเอกอีกขิ้นก็คือ กีตาร์สไตล์สแปนิช หรือสไตล์ลาติน ที่มีทำนองและเสียงไม่เหมือนกีตาร์ของชนชาติใด ศิลปินที่รู้จักดีคือ RICKY MARTIN ที่นำเอาดนตรีลาตินมาใช้กับดนตรีแด๊นซ์ของฝั่งอเมริกา

WORLD MUSIC เป็นดนตรีที่นำเอาเอกลักษณ์ ของดนตรีพื้นเมืองของชาติต่างๆมาเรียบเรียงใหม่ บนดนตรีสังเคราะห์ ชึ่งมีหลากหลายสไตล์ทั้งเต้นรำ และฟังสบายๆ เนื้อหาของเพลงจะฟังไม่ค่อยรู้รื่อง เพราะจะเน้นความเป็นพื้นเมืองของดนตรีนั้นๆ รายละเอียดดนตรีก็เช่นเดียวกัน จะมีความสลับชับช้อน หลากหลาย ที่นำมาผสมผสานกันจนยุ่งเหยิงแต่กลับกลายเป็นเนื้อเดียวกันที่ลงตัว วงดังๆในแนวนี้ก็มี ENIGMA และ DEEP FOREST เป็นต้น

DISCO : เป็นแนวเพลงที่เกิดในยุค 70s โดยคลับใน NEW YORK ที่เลือกเปิดแต่แนวเพลงSOUL, FUNK, GROOVESแบบเต้นรำจนพัฒนากลายเป็น DISCO โดยนำเอาดนตรีโชลมาใส่จังหวะใหม่ เพิ่มความเร็ว และศิลปินส่วนใหญ่จะเป็นศิลปินผิวสี เช่น DONNA SUMMER, GLORIA GAYNER, CHIC, BONEY M. และอัลบั้มที่พลิกประวัติศาสตร์ เป็นอัลบ้ำขายดีตลอดการจนกระทั่ง MICHAEL JACKSON มาลบสถิติได้ก็คือ SATURDAY NIGHT FEVER ที่มีเพลงฮิตหลาย ๆ เพลงของ THE BEE GEES ในอัลบั้มนี้ที่ติดอันดับ TOP TEN ทั้งฝั่งอังกฤษและอเมริกา ส่วนคลับที่เป็นตัวแทนของ ดิสโก้ ก็คือ STUDIO 54 ที่มีแขกชื่อดังมากมายมาเที่ยวที่คลับแห่งนี้ ทั้งศิลปิน นักร้องFASHION DESIGNER นักธุรกิจ และได้ปิดตัวลงในช่วงต้นยุค 80's จนกลายเป็นตำนานของคลับในช่วงดิสโก้เฟื่องฟู

HOUSE MUSIC : ในช่วงต้นยุค 80's ได้มีปรากฏการณ์ดนตรีขึ้นมาใหม่เป็นดนตรี HOUSE MUSIC ที่นำเอาดนตรี DISCOดนตรี DISCO มาปรับปรุง ตัดแต่ง รีมิกช์ เพิ่มเติมความเร็วของบีท หรือจังหวะเพิ่มขึ้น และเนื้อร้องเหลือเพียงแค่ท่อนฮุค หรือคำเท่ๆบางคำที่นักเต้นสามารถร้องตามได้เท่านั้น และใส่บีทที่เป็นเสียงสังเคราะห์ ผสมผสานกันกับ ELECTRONIC SYNTH POP, DUP, REKKAE, RAP, JAZZ โดยสร้างดนตรีแนวนี้กันในโกดัง หรือ Ware House และสุดท้ายตัดเหลือ House คำเดียว ความเร็วของจังหวะ หรือ BPM (Beat Per Minute คือความเร็วของจังหวะกลอง กระเดื่องที่นับได้ภายใน 1นาที) จะอยู่ระหว่าง 90-120 จนเป็นดนตรี HOUSE ที่เป็นพื้นฐานให้กับดนตรีแนวอื่นอีกมากมายในช่วงยุค 80's ทั้ง HIP-HOP, AMBIENT HOUSE, ACID HOUSE และในช่วงปลายยุค 80's ดนตรี House Music ก็ขยับจากการเป็นเพลงUnderground มาเป็นดนตรี POP โดยเริ่มที่ยุโรปจนมาถึงอเมริกาในภายหลัง โดยที่มาของชื่อ HOUSE MUSIC นี้มาจากคลับใน CHICAGO โดยมี FRANKIE KNUCKLES เป็น DJ ในขณะเดียวกันคลับในNEW YORK ที่ชื่อ PARADISE GARAGE ก็ได้เปิดตัวขื้นมี LARRY LEVAN มาเป็น DJ จนกลายเป็นที่มาของคำว่า HOUSE AND GARAGE

TECHNO : เป็นแนวดนตรีเต้นที่แตกแขนงออกไปจากดนตรีดิสโก้ แต่มีความเร็วจังหวะ 110-130 BPM มีจังหวะที่เน้นไปทางหนักหน่วงโดยใข้เสียงของดนตรีสังเคราะห์ล้วนๆ เปรียบเสมือนตัวแทนของการเจริญเติบโตของเทคโนโลยีในยุค80'sที่มีการประดิษฐ์เครื่องดนตรีสังเคราะห์มาใข้แทนกีตาร์ กลอง เบสและเปียโน ลักษณะเด่นของดนตรีเทคโน จะอยู่ตรงที่จังหวะแข็งกระด้าง ไม่มีเสียงเบส แทบจะไม่มีเสียงร้อง รายละเอียดประกอบด้วยเสียงเอฟเฟ็คท์ต่างๆ ที่ถูกสร้างขื้นมาเป็นท่วงทำนองบ้าง ไม่เป็นบ้าง ซึ่งจะเป็นที่นิยมกันมากในยุโรปคือ เยอรมันและฮอลแลนด์ ชึ่งต่อมาก็มีการนำดนตรีพ๊อพมาผสมผสาน และถูกเรียกว่า เทคโนแด๊นช์ วง KRAFTWERK ของเยอรมันเป็นต้นแบบ ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นรากฐานของดนตรีเทคโนยุคหลัง ที่นิยมเปิดกันตามคลับเต้นรำในปัจจุบัน ซึ่งศิลปินจะออกวางขายกันเฉพาะซิงเกิล หาฟังได้ตามผับแถวRCA และเพลงในสังกัด Red Beatและ Rock Records

TRANCE : เป็นการผสมผสานระหว่างดนตรี Ambient กับดนตรีเทคโน กล่าวคือ ดนตรีแอมเบี้ยนท์ เป็นดนตรีที่ประกอบไปด้วยเสียงของบรรยากาศรอบตัวเช่น เสียงลม เสียงฝน เสียงคน หรือเสียงสัตว์ แต่ไม่มีจังหละ เมื่อนำบีทท่มีความเร็ว110-13O BMP ของดนตรีเทคโนมาผสมบวกกับเบสไลน์ของโรลลิ่ง เบส เสียงใหญ่ ผสมกับเสียงสังเคราะห์ของ SYNTHและเอฟเฟ็คท์ต่าง โดยใส่ท่วงทำนองที่ไพเราะเข้าไปจึงฟังดูล่องลอย กว้างขวาง มหึมา และหรูหราของเสียงSYNTH ลักษณะที่เด่นชัดและเรียกว่า Trance เพราะเป็นดนตรีที่นักท่องเที่ยวชาวยุโรป ชอบนำไปเปิดตามปาร์ตี้ ตามที่ต่างๆที่พวกเขาไปเที่ยวกัน ละเมื่อไปถึงเมืองไหนหรือประเทศใด พวกเขาก็นำกลิ่นอายหรือบรรยากาศของสถานที่นั้นๆมาสร้างเป็นเมโลดี้ ผสมผสานกับบีทเทคโน ดนตรีแนวนี้จึงกลายเป็นดนตรีประกอบการเดินทาง แหล่งกำเนิดของดนตรีแนวนี้ คือ ประเทศเยอรมัน เรียกว่า Europian Trance และที่เมืองGoa ประเทศอินเดีย เรียกว่า Goa Trance โดยที่นักเดินทางจากยุโรป นำมาจัดปาร์ตี้และใส่ท่วงทำนองของดนตรีอินเดียเข้าไป

HIP-HOP : ดนตรีแรพ ที่เพิ่มรายละเอียดของดนตรีที่เป็นทั้งกีตาร์ เบส และคีย์บอร์ด เข้าไปบวกกับลูกเล่น การสแครชแผ่นเสียงจาก Turntable และเสียงเอ๊ฟเฟค์ทจากเครื่องมิกซ์เซอร์ ดนตรีจึงสละสลวยและน่าฟังมากกว่าดนตรีแรป แต่ถ้าลดความเร็วลงมาประมาณเท่าตัว ก็จะเรียกว่าดนตรี Trip-Hop ซึ่งจะเปลี่ยนเสียงร้องในสไตล์แรป เป็นสไตล์โซล และถ้าเพิ่มความเร็วของจังหวะประมาณ 1 เท่าก็จะเรียกว่าดนตรี Hard-Hop แต่รายละเอียดดนตรียังเหมือนเดิม

TRIP HOP : เป็นแนวเพลงที่เกิดในฝั่งอังกฤษ โดยศิลปินพยายามผสมผสานดนตรีหลายแนวอย่าง Jazz, Soul, Funk กับบีทกลองแบบ HiP-HOP และดนตรี ELECTRONIC บบ AMBIENT โดยมุ่งเน้นบรรยากาศที่ค่อนข้างเศร้าหมอง คลุมเครือ และมืดหม่น โดยเริ่มประมาณปี 1993 มีสังกัดอย่าง MO'WAX, NINJA TUNE, CUP OF TEA, WALL OF SOUND ส่วนศิลปินที่ทำให้ Trip Hop เป็นที่รุ้จักแพร่หลายคือกลุ่มศิลปินจาก BRISTAL เช่น PORTISHEAD, TRICKY, MASSIVE ATTACK และศิลปินอื่นๆ อย่าง DJ SHADOW, U.N.K.L.E, COLDCUT, MORCHEEBA, SNEAKER PIMPS TRIP HOP ถือว่าเป็นปรากฏการณ์หนึ่ที่ทำให้ดนตรี UNDERGROUND DANCE MUSIC ขยายสู่กลุ่มผู้ฟังวงกว้างยิ่งขึ้น จนติดอันดับในชาร์ทต่าง ๆ และเป็นที่มาของกระแส ELECTRONICA ต่อไป

URBAN : หรืออีกชื่อหนึ่งว่า URBAN CONTEMPORARY คือดนตรีแบบ R&B, SOULในช่วงยุค 90's ถึงปัจจุบันโดยเป็นเพลงที่เน้นความเป็นPOPที่ฟังสบาย มีจังหวะที่ทันสมัยศิลปิน และมีความเป็น pop มากกว่า R&B และได้ข้ามจากชาร์ทR&B ไปสู่ pop โดยมีศิลปินผิวสีอย่าง JANET JACKSON, BILLY OCEAN, WHITNEY HOUSTON เป็นศิลปินบุกเบิกยุคแรกๆ ต่อมาก็มีศิลปิน BOBBY BROWN ที่นำ R&B มาใส่บีทแบบ HIPHOP และร้อง RAPใส่ลงไปจนกลายเป็นที่มาของ URBAN ในยุคต่อ ๆ มา และ PRODUCER อย่าง TEDDY RILEY (BOBBY BROWN), JIMMY JAM & TERRY LEWIS (JANET JACKSON), DENZIL FOSTER&THOMAS McELROY (ENVOGUE) BABYFACE เป็นกลุ่มผู้นำ และมีศิลปินต่างๆในปัจจุบัน เช่น MARY J.BLIGE, TONI BRAXTON, R.KELLY, BOYZ2MEN, BRANDY, MONICA...

CHILLED - OUT คือดนตรีเต้นรำที่ผ่อนคลายและมีจังหวะที่ช้าที่สุด มีไว้สำหรับฟังเพื่อผ่อนคลายหรือเต้นรำในจังหวะ สโลว์เสียมากกว่า เพราะลักษณะที่ชัดเจนคือ ท่วงทำนองไพเราะ ล่องลอย เคลิบเคลิ้ม ฟังแล้วโลกสว่างไสว ถือว่าเป็นกระแสดนตรีในยุคปัจจุบันที่เป็นทางเลือกสำหรับคนที่เบื่อเพลง pop แบบ MAINSTREAM แต่ก็ไม่ต้องการดนตรีที่ซีเรียสมากมายCHILL OUT จึงเป็นคำที่เรียกแนวดนตรีที่หลากหลายทั้งแนว LOUNGE, DOWNTEMPO, BALEARIC, NU JAZZ, TRIP HOP, HOUSE AMBIENT DUB ซึ่งจะเป็นดนตรีแนวอะไรก็ได้ ยกเว้นแนวที่มีจังหวะหนักๆเท่านั้น อัลบั้มที่ทำให้ดนตรี CHILL OUT เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในเมืองไทยคือ CAFE DEL MAR ที่เป็นเพลงที่เปิดในคลับชื่อเดียวกันในเกาะIBIZA ประเทศสเปน ส่วนอัลบั้ม CHILL OUT ที่ถือว่าเป็นแนวหน้านั้นคงจะเป็นอัลบั้ม COSTES ที่เป็นเพลงสำหรับเปิดในBOUTIQUE HOTEL ในประเทศฝรั่งเศสมิกซ์โดย STEPHANE POMPOUNGAC กับอัลบั้มSeries "BUDDHA BAR" ที่เป็นเพลงที่เปิดในบารชี่อเดียวกันในประเทศฝรั่งเศส โดย CLAUDE CHALLE

DOWNTEMPO : เป็นคำที่ใช้เรียกเพลงที่มีจังหวะเนิบๆ หรือบีทช้าๆ ที่ผสมผสานทั้ง HIP-HOP, JAZZ, SOUL, JUNGLE, DUB ชึ่งมีหลากหลายแนวทางผสมผสานกัน DOWNTEMPO อาจจะเป็นแค่เพลง 1 หรือ 2 เพลงในอัลบั้มของศิลปินต่างๆ ทั้งแนว BREAK BEAT, TRIP HOP, BIG BEAT, LOUNGE โดยกลุ่มศิลปินที่เป็นที่รู้จัก ส่วนมากจะมาจากประเทศเยอรมัน ที่มีสังกัดอย่าง STEREODELUXE, COMPOST หรือมาจากออสเตรียอย่าง KRUDER & DORFMIESTER, TOSCA, DZIHAN & KAMIEN และศิลปินอื่นๆ เช่น BONOBO, KINOBE, PEPEDELUXE, ZERO 7, HERBERT, DJ CAM

เป็นไงครับรายละเอียดแนวเพลงต่างๆ บางคนอาจจะไม่เคยได้แนวเพลงบางประเภท ก็เลยขอแนะนำ Website ที่ผมไปใช้บริการเป็นประจำ จะมีหลากหลายแนวเพลงที่น่าสนใจฟัง ลองดูครับ http://mp3.uzhgorod.name/

ถ้าชอบคราวหน้าจะหาเรื่องใหม่ๆ มาคุยกันครับ
สุรัตน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น